EGF (Epidermal Growth Factor) ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่าน คือ แสตนลี่ย์ โคเฮน (Stanley Cohen) และ ริต้า เลวี มอน ตาลซินี (Rita Levi-Montalcini) ซึ่งทั้งคู่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาชีววิทยา ในปี คศ.1986 การค้นพบครั้งนี้นับเป็นประโยชน์ทางการแพทย์อย่างมาก เพราะสามารถนำมารักษาและฟื้นฟูผู้ได้รับบาดเจ็บทางผิวหนัง เช่นแผลไฟไหม้ หรือใช้ในการพักฟื้นคนไข้หลังได้รับการผ่าตัด ทำให้บาดแผลสมานกันได้เร็วขึ้น รวมถึงสร้างเซลผิวขึ้นใหม่ด้วย EGF คือโปรตีนสำคัญที่มีโครงสร้างของกรดอะมิโน ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นมาเองตามธรรมชาติในเซลล์ผิวของมนุษย์ สามารถสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวใหม่และเติมเต็มเซลล์ผิวจึงทำให้ผิวแลดูอ่อนวัย เมื่อผิวสร้าง EGF อย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ จึงทำให้ผิวกระชับยืดหยุ่น ชุ่มชื้น มีน้ำมีนวล กระจ่างใส และอ่อนเยาว์ แต่เมื่ออายุที่เริ่มมากขึ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวจาก EGF จะลดลงเรื่อย ๆ ผิวจึงเริ่มสูญเสียความกระชับ จึงปรากฏริ้วรอยตามหางตา หน้าผาก และลำคอ เป็นผลให้คอลลาเจนและความยืดหยุ่นลดลงจึงเห็นริ้วรอยชัดเจนมากขึ้น ในประเทศไทยจากการทดลองใช้ EGF กับผิวบริเวณใบหน้า จะช่วยกระตุ้นในการผลัดเซลล์ผิวเก่าออกและเผยผิวกระจ่างใส โปรตีนจะช่วยทำให้มีการผลัดเซลล์ผิว สังเคราะห์โปรตีนใหม่ แบ่งเซลล์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารไฮยารอลูนิก คอลลาเจน จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้ผิวกลับไปแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น ผิวมีชีวิตชีวา กระจ่างใส ดังนั้น EGF จึงถูกเรียกว่า “ปัจจัยแห่งความงาม” EGF ปลอดภัยหรือไม่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง? ในวงการแพทย์สมัยใหม่ EGF ที่ถูกนำมาใช้เรียกว่า Polypeptide (โมเลกุลในสายพันธุ์ของกรดอะมิโน) โดยพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้น ซึ่ง EGF มีประสิทธิภาพช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเป็นตัวการสำคัญในการฟื้นฟูผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ ในต่างประเทศ EGF ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการความงาม ให้ผลทางด้านชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์บางรายอาจเกิดอาการแพ้ได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล เนื่องจากประเทศไทยกฎหมายเครื่องสำอางไม่อนุญาตให้แสดงคำว่า EGF ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ดังนั้น Sh-Oligopeptide-1 ที่สกัดมาจากพืชและแบคทีเรียชั้นดี จึงมีคุณสมบัติเทียบเคียงกับ EGF ผลทดสอบการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร Sh-Oligopeptide-1 กับกลุ่มผู้ทดลอง พบว่าปัญหาผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ผิวไม่เรียบเนียน หรือหลุมสิว ดูลดเลือนและจางลง ผิวมีความยืดหยุ่น ตึงกระชับขึ้น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของ M-DEAR มีส่วนประกอบหลักสำคัญคือ Sh-Oligopeptide-1 สกัดมาจากพืชและแบคทีเรียชั้นดี ที่มีคุณสมบัติเทียบเคียง EGF ด้วยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ M-DEAR จึงมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงในการเข้าบำรุงและฟื้นฟูได้อย่างตรงจุดทุกปัญหาผิว ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง M-DEAR…
1.ต้องรู้จักผิวตัวเองให้ดีก่อน ก่อนที่เราจะควักเงินในกระเป๋าให้กับ Skincare ที่ราคาสูง เพื่อแลกกับคุณภาพและความเชื่อมั่นของแบรนด์และผลิตภัณฑ์นั้นๆ เราควรรู้จักตัวตนของผิวเราเสียก่อนว่าเราเป็นคนมีผิวประเภทไหน ผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ผิวเป็นสิวง่าย หรือผิวแพ้ง่าย เพราะผิวแต่ละประเภทนั้นมีการดูแลที่ต่างกัน รวมทั้งอายุ ก็มีส่วน หากเราถึงวัยที่ควรดูแลเรื่องริ้วรอยแต่ไม่ได้โฟกัสในเรื่องนี้เลย มุ่งเน้น Skin care ที่ทำให้ผิวขาวอย่างเดียว ก็คงไม่ตอบโจทย์ปัญหาผิวของคุณนัก หากคุณมีผิวที่ขาว แต่มากไปด้วยริ้วรอย มันจะดูสวยได้อย่างไรล่ะ 2.ต้องอ่านส่วนผสมข้างขวดให้เป็น จุดหนึ่งที่เราต้องดู เพราะมีความสำคัญไม่แพ้ป้ายราคาเลยก็คือ ฉลากของส่วนผสมที่อยู่ข้างๆ ขวดเพราะยิ่งเรารู้จักส่วนผสมเยอะก็ยิ่งทำให้เราเลือก Skincare ได้โดนใจเราที่สุด อย่างไรก็ตามถ้าคิดว่ายากเกินไปอย่างน้อยเราก็ ควรรู้ถึงสารต้องห้ามพื้นฐานที่เราไม่ควรใช้ จะได้หลีกเลี่ยงได้ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้หน้าเราพังได้เช่นกัน ซึ่งสมัยนี้ค้นคว้าหาข้อมูลกันง่ายมากๆ แต่ก็ต้องมาจากแหล่งและเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ด้วย 3.ตัดใจหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ก่อนให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย อย่างที่กล่าวไปแล้วจากข้อ 2 ว่าควรอ่านส่วนผสมข้างขวดให้เป็นด้วย เพราะฉนั้นเราควรมีความรู้ว่าสารตัวไหนบ้างที่ไม่ควรมีอยู่ หรือไม่จำเป็นต้องมีอยู่ใน Skin Care โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวคนไหนที่มีผิวแพ้ง่าย ถึงง่ายมาก เรียกว่าแพ้ไปหมดทุกอย่างบนโลกใบนี้ บางคนถึงขนาดกลัวจนต้องล้างหน้าแต่น้ำเปล่า และไม่กล้าบำรุงอะไรเลย ดังนั้นเรามาดูกันว่าสารอะไรบ้างที่ควรเลี่ยง พาราเบน หรือ สารกันเสียที่พบในเครื่องสำอาง และ Skincare หลายๆ ตัว เคยมีการประกาศออกมาว่า สารตัวนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งเต้านม แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า สารชนิดนี้ ถ้าใช้แล้วจะทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งจริงหรือเปล่า แต่เพื่อความปลอดภัย ระวังไว้บ้างก็ไม่เป็นเรื่องที่เสียหายอะไร แอลกอฮอล์ ทำให้ผิวแห้ง และเกิดอาการระคายเคือง ทำให้หน้าผิวสร้างน้ำมันมากกว่าเดิม และไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเป็นสิว อย่างไรก็ตาม แอลกอฮอล์ที่ไม่ดีและควรหลีกเลี่ยงคือ alcohol denat, SD alcohol, isopropyl alcohol ในขณะที่แอลกอฮอล์อย่าง cetyl, stearyl, and cetearyl alcohol นั้นไม่ได้ทำร้ายผิวดังนั้นจึงมีอยู่ในส่วนผสมได้ แต่เพื่อความง่ายเวลาซื้อ Skincare ให้มองหาสูตร Alcohol Free เพื่อยืนยันว่าไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ทำร้ายผิว Sodium Lauryl Sulfate (SLS) สารกลุ่มซัลเฟตที่ช่วยทำให้เกิดฟองในโฟมล้างหน้า แต่มันกลับเป็นสารที่เราต้องระมัดระวัง เพราะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเราเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารจำพวก แต่งเติมสีให้ดูสวย น่าใช้แต่ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆต่อผิว มิเนรัลออย และน้ำหอมก็ด้วยเช่นกัน 4. ต้องรู้ว่าแพ็คเกจจิ้งมีผลต่อประสิทธิภาพ แพ็คเกจจิ้ง หรือบรรจุภัณฑ์ของก็สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพของ Skincare นั้นได้ ซึ่งเพคเกจจิ้งที่ดี ไม่ใช่แค่ดีไซน์สวยงาม แต่ต้องมีคุณสมบัติในการปกป้องผลิตภัณฑ์ 3 อย่างดังต่อไปนี้ ไม่โดนแสง – ไม่โดนอากาศ – ไม่โดนมือ…
EGF หรือ Epidermal Growth Factor คือโปรตีนประเภทหนึ่งที่มีโครงสร้างของกรดอะมิโน และมีกระบวนการผลิตขึ้นจากธรรมชาติภายใต้เซลล์ผิวหนัง ซึ่งเข้ามามีส่วนช่วยสร้างเนื้อเยื่อทดแทนเซลล์ผิวที่ถูกทำลายรวมถึงการสร้างเซลล์ผิวใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำหน้าที่สมานแผลให้กลับมาเป็นปกติ โดยมีกระบวนการทำงานโดยใช้เวลาตั้งแต่ 5-6 สัปดาห์ หรืออาจจะนานเป็นปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและอายุของแต่ละคนว่าร่างกายยังสามารถผลิต EGF ได้ดีเพียงใด นั่นหมายความว่าเมื่ออายุเริ่มมากขึ้นก็เป็นธรรมดาที่ความสามารถในการผลิต EGF จะลดลงตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันกรณีที่เซลล์ผิวสร้างกระบวนการผลิตเนื้อเยื่อทดแทนได้ไม่สมบูรณ์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ รอยดำถาวร รอยแดงจากแผล รวมถึงหลุมสิว และรอยแผลเป็นทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันจึงได้มีผลิตภัณฑ์เวชสำอางที่มีการพัฒนานวัตกรรมให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ EGF มากที่สุดนั่นก็คือ Sh-Oligopeptide-1 สารสกัดจากธรรมชาติที่นำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าซึ่งมีคุณสมบัติในการทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของ Stem cell ในชั้นผิวอีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการซ่อมเซลล์เนื้อเยื่อและการสมานแผล สามารถกระตุ้นให้เซลล์ผิวมีการสังเคราะห์คอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพกลับมามีสภาพผิวที่ดีขึ้นได้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหรือผิวกายที่มีส่วนผสมของ Sh-Oligopeptide-1 สามารถใช้ทาบริเวณรอยแผล รอยแดงและรอยดำจากหลุมสิว เพื่อช่วยทำให้เซลล์ผลิตเนื้อเยื่อได้มากขึ้น เพียงพอต่อความต้องการทดแทนเนื้อเยื่อหรือเซลล์ผิวเก่าที่ถูกทำลาย ให้กลับมาสมานตัวได้เรียบเนียนดังเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากจะมีคุณสมบัติในการรักษาแผลและฟื้นฟูสุขภาพผิวแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Sh-Oligopeptide-1 ก็ยังมีการพัฒนาเพื่อผู้ใช้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อเริ่มเข้าสู่วัย 30 แน่นอนว่าร่างกายก็จะเริ่มผลิต EGF ได้น้อยลงไปเรื่อยๆ และส่วนใหญ่ก็มักจะพบปัญหาริ้วรอยก่อนวัยอันควร สาเหตุจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัวบวกกับการที่ร่างกายก็ผลิตสาร EGF ได้ไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมผิวนั่นเอง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Product ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้หญิงวัย 30 ปีขึ้นไปเพราะมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิว (Regenerate) ฟื้นฟูให้มีความสดใส (Fresh) และอ่อนเยาว์ (Young result) รวมถึงช่วยปรับสภาพผิวให้ดูขาวกระจ่างใสในวัย 30 ปีขึ้นไปได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในช่วงอายุ 30 ไม่ว่าจะมากกว่าหรือน้อยกว่าวัยนี้หากปัญหาผิวไม่กระชับ หย่อนคล้อย รวมทั้งปัญหาที่เกิดจากสิวก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ EGF หรือ Sh-Oligopeptide-1 เพื่อดูแลรักษาได้เช่นกัน ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง M-DEAR Renew Lotion ขนาด 100ml ราคา 2,050 บาท คลิกที่นี่ M-DEAR Renew Serum ขนาด 30ml ราคา 3,900 บาท คลิกที่นี่ แหล่งที่มาข้อมูล : http://gracesimplegalz.com https://www.researchgate.net
ผิวหนัง ถือได้ว่าเป็นอวัยวะส่วนใหญ่ที่ปกคลุมห่อหุ้มทั่วร่างกายของเรา ภายในมีปลายประสาทรับความรู้สึกจำนวนมากในการรับรู้การสัมผัสต่างๆ ความรู้สึกเจ็บและอุณหภูมิร้อนเย็น ระบบผิวหนังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และยังมีหน้าที่เป็นอวัยวะขับเหงื่อกับไขมันด้วย ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้มาก เพราะบนผิวหนังมีรูเล็กๆ อยู่ทั่วไป ซึ่งเรียกว่ารูเปิดของขุมขน ท่อของต่อมไขมัน และต่อมเหงื่อ ผิวหนังที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีรอยนูนเป็นสันจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ปลายนิ้วมือทั้งห้ามีสันนูนเรียงกันเป็นร้อยหวาย หรือก้นหอย โครงสร้างของผิวหนังมีส่วนประกอบ 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมัน (Subcutis) ในแต่ละชั้นจะแบ่งเป็นชั้นย่อยๆ อีกหลายชั้น และมีต่อมต่างๆ อีกมากมาย เช่น ต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน เป็นต้น ซึ่งจะมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1.หนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นของผิวหนังที่ปกคลุมอยู่บนสุดหรือภายนอกสุด หนาตั้งแต่ 0.3 ถึง 1 มิลลิเมตร ประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีการเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ และเกิดใหม่อยู่เสมอ โดยที่เซลล์ใหม่จะถูกสร้างจากชั้นล่างสุดติดกับหนังแท้ เมื่อเจริญเติบโตขึ้นแล้วก็จะเคลื่อนตัวมาทดแทนเซลล์ที่อยู่ชั้นบนจนถึงชั้นบนสุด จากนั้นก็กลายเป็นขี้ไคล (Keratin) หลุดลอกออกไป นอกจากนี้ที่ชั้นหนังกำพร้ายังมีเซลล์สร้างเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) ปะปนอยู่ด้วย เมลานินจะมีจำนวนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและเชื้อชาติ ที่ทำให้สีผิวของทุกคนไม่เหมือนกัน ในชั้นของหนังกำพร้าไม่มีหลอดเลือด เส้นประสาท และต่อมต่างๆ นอกจากเป็นทางผ่านของรูเหงื่อ เส้นขน และไขมันเท่านั้น 2.หนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นถัดไปจากหนังกำพร้า แต่หนากว่าหนังกำพร้ามากประกอบด้วยเส้นใยพังผืดเป็นส่วนใหญ่ประสานไขว้กันไปมาและโปรตีนหลัก 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อคอลลาเจน (Collagen) เนื้อเยื่ออีลาสติน (Elastin) โดยคอลลาเจน จะทำหน้าที่สร้างความแข็งแรงให้กับผิวหนัง และช่วยในการซ่อมแซม ฟื้นฟูสภาพผิวหนังที่บาดเจ็บซึ่งหากสร้างในปริมาณมากเกินไปก็จะเกิดเป็นแผลเป็นนั่นเอง ส่วนอีลาสติน ทำหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และในชั้นหนังแท้นี้ก็ยังเป็นที่อยู่ของ หลอดเลือดขนาดเล็ก เส้นประสาท กล้ามเนื้อเกาะเส้นขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ ท่อน้ำเหลือง เซลล์ไฟโบรบลาส (Fibroblast) ซึ่งเป็นตัวที่สร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน 3.ชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) หรือ ชั้นไขมัน (Subcutaneous) เป็นชั้นที่อยู่ลึกที่สุดประกอบด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ชั้นนี้จะมีโครงสร้างของเส้นใยคอลลาเจนและเซลล์ไขมัน ช่วยในการเก็บสะสมพลังงานความร้อนไม่ให้สูญเสียออกนอกร่างกาย ความหนาขึ้นกับปริมาณไขมันของแต่ละบุคคล ชั้นนี้ทําหน้าที่คล้ายฉนวนกันความร้อนให้ร่างกาย ช่วยลดแรงกระทบกระแทกจากภายนอก และชั้นไขมันที่มีมากโดยเฉพาะบริเวณสะโพก เอว ต้นขา ที่เรียกว่าเซลลูไลท์ (Cellulite) ก็คือไขมัน ที่มีเนื้อเยื่อคล้ายพังผืดแทรกอยู่จึงก่อให้เกิดการดึงรั้งผิวหนังเห็นเป็นลอนๆ…
ค่า pH ผิว มีความสำคัญอย่างไร? pH หรือ potential of hydrogen คือค่าวัดความเป็นกรดเป็นด่างของสารเคมีที่ละลายอยู่ในน้ำ ระดับของค่า pH ทั้งหมดจะอยู่ระหว่าง 1-14 ยิ่งตัวเลขน้อยก็หมายถึงความเป็นกรด แต่ถ้าตัวเลขสูงมากก็หมายถึงความเป็นด่าง โดยปกติแล้วผิวหน้าของคนเราก็มีค่า pH เช่นกัน ดังนั้นจึงมีความสำคัญในการที่ต้องดูแลและใส่ใจเพื่อควบคุมสมดุลความเป็นกรด-ด่างให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และความสมดุลความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมมากที่สุดของผิวจะอยู่ที่ 5.5 ซึ่งจะมีความเป็นกรดอ่อนๆ (Acid Mantle) ที่เป็นกรดอ่อนๆ ก็เพราะว่าเกิดจากน้ำมันจากต่อมไขมัน (Sebum) ที่ผลิตออกมาสู่ผิวหนังชั้นนอกมาผสมกับกรดแลคติกและกรดอะมิโนจากเหงื่อบนผิวหนังทำให้เกิดเป็นค่า pH ระดับ 5.5 ซึ่ง โดยค่า pH จะแตกต่างกันไปตามเพศ อายุ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำไมค่า pH จึงสำคัญ? เพราะว่าค่า pH ของผิวมีหน้าที่สำคัญ ช่วยรักษาความอ่อนนุ่มให้ผิว และปกป้องผิวจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ถ้าหากว่าค่า pH มีความเป็นด่างมากเกินไป เกราะปกป้องผิวตามธรรมชาติก็จะถูกทำลายลงไป ทำให้ต้องสูญเสียน้ำ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวแห้งเสีย เพราะชั้นผิวที่ปกคลุมด้านนอกไม่สามารถทำงานเป็นเกราะปกป้องผิวได้ อีกทั้งยังทำให้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ค่า pH 5.5 มีประโยชน์อย่างไรต่อผิว? เพราะผิวหนังที่มีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ นั้นจะมีหน้าที่ปกป้องผิวจากปัญหาต่างๆ ได้หลายอย่าง อีกทั้งยังสามารถช่วยควบคุมสมดุลการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ประจำถิ่น (Microflora) และคอยทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อผิวเจริญเติบโตได้ ความสำคัญของค่า pH บนผิวหน้าคือ? ถ้าหากว่าบนผิวหน้ามีระดับค่า pH มากเกินไปก็จะส่งผลให้สภาพผิวแห้ง หยาบกร้าน มีอาการแพ้และเป็นผื่นได้ง่าย ดังนั้นถ้าไม่อยากมีปัญหาหน้าแห้งเกินไป สิ่งที่ควรเลี่ยงก็คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีค่า pH สูง และเพื่อไม่ต้องพบเจอกับปัญหาหน้าแห้งเกินไป นอกจากการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแล้ว ควรรักษาระดับค่า pH ให้สมดุลด้วย ในขณะเดียวกันถ้าผิวหน้ามีค่า pH น้อยเกินไป (เป็นกรดสูง) ปัญหาที่ตามมาก็คือใบหน้าจะมันเยิ้มมากขึ้นนั่นเอง เรียกว่าเป็นปัญหาที่ใครหลายคนเคยพบเจอมาแน่นอนที่สำคัญคือ มักจะมีปัญหาสิวตามมาด้วย ดังนั้น ก็อาจจะต้องลองมาดูเรื่องค่า pH ของผิว และพยายามรักษาสมดุลของระดับค่า pH อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดความมันบนใบหน้าและช่วยควบคุมการเกิดสิวให้ลดลงได้ ได้รู้จักค่า pH ของผิวและผิวหน้ากันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าค่า pH ค่อนข้างมีความสำคัญและมีผลต่อการดูแลผิวหน้าตามสภาพความเป็นกรด-ด่าง ที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพผิวที่ดีที่สุด อ้างอิง…
วิตามินซี (Vitamin C) หรือ กรดแอสคอร์บิก เป็นหนึ่งในวิตามินที่ร่างกายมีความต้องการเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานและเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ส่วนใหญ่การรับวิตามินซีจะเป็นในรูปแบบอาหารทั้งจากธรรมชาติและอาหารเสริม แต่คุณประโยชน์ที่สำคัญของวิตามินซีอีกอย่างหนึ่งก็คือช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูมีสุขภาพผิวดี ขาวกระจ่างใสอยู่เสมอเพราะเป็นวิตามินประเภทมีคุณสมบัติละลายในน้ำ (Water-soluble vitamins) จึงสามารถซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ประโยชน์ของวิตามินซี ในแง่ของการดูแลผิว ไม่เพียงแค่ช่วยสร้างคอลลาเจนเท่านั้นแต่ยังสามารถช่วยในเรื่องความยืดหยุ่นของผิวโดยเฉพาะในรูปแบบของครีม มอยส์เจอไรซ์เซอร์ โทนเนอร์ หรือเซรั่ม ซึ่งการทาผิวด้วยครีมและใช้เซรั่มบำรุงถือว่าเป็นทางตรงในการที่วิตามินซีจะเข้าไปสู่ผิวอย่างง่ายและได้ผลที่สุด เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำได้ การนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์เพื่อผิวหน้า จึงช่วยทำให้ผิวพรรณดี ผิวขาวกระจ่างใส ดูสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ คุณประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของวิตามินซี ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงจาก กรดแอสคอร์บิก โดยมีคุณประโยชน์ต่อผิวหนังคือ ช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าและทำให้ผิวเต่งตึง ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสียูวี ตลอดจนช่วยให้เซลล์ผิวหนังได้ปรับสภาพในกระบวนการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูสดใส เปล่งประกาย และการที่วิตามินซีสามารถช่วยสร้างคอลลาเจนได้นั่นเอง จึงทำให้มีคุณสมบัติที่ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้นอีกด้วย เช่นแผลจากการเป็นสิว แม้แต่ในครีมกันแดดบางชนิดก็มีสารสกัดจากวิตามินซี ที่ช่วยรักษาผิวหนังจากการถูกแสงแดดเผาอย่างได้ผล ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการถูกทำลาย ทำให้ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการถนอมผิวจากทั่วโลกต่างก็มีความเห็นเหมือนกันว่าสารสกัดจากวิตามินซี ถือเป็นสารสกัดที่มีความสำคัญมากในผลิตภัณฑ์ด้านการชะลอวัย เมื่อนำไปใช้บำรุงผิวก็จะช่วยคืนความสดชื่นทำให้ผิวตึงและกระชับอย่างชัดเจน ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการเพิ่มคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยคงความชุ่มชื้นสำหรับผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัย 30 ซึ่งประสิทธิภาพในการกสร้างคอลลลาเจนจะลดลงตามธรรมชาติ แต่วิตามินซีสามารถเข้ามามีส่วนช่วยลดริ้วรอยก่อนวัยอันควรทั้งริ้วรอยรอบดวงตา, รอบริมฝีปาก ร่องลึกอื่น ๆ บนใบหน้าได้อย่างเห็นผล อย่างไรก็ตามหากต้องการดูแลสุขภาพผิวพรรณให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ขอแนะนำว่าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของครีมหรือเซรั่มก็ตาม แม้ว่าจะมีราคาค่อนข้างสูงแต่อย่างน้อยก็สามารถมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยเมื่อนำไปใช้มากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือแน่นอน อ้างอิง: https://www.honestdocs.co/vitamin-c-benefits-and-harm-you-never-heard-of https://www.sanook.com/women/112553/ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม Line : @mdearthailand
ผิวหนังประกอบด้วย 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis), ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) หรือ ชั้นไขมัน (Subcutaneous) 1. หนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นของผิวหนังที่ปกคลุมอยู่บนสุด จะประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีการเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และเกิดใหม่ โดยที่เซลล์ใหม่จะถูกสร้างจากชั้นล่างสุดติดกับหนังแท้และเจริญเติบโตขึ้น แล้วค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาทดแทนเซลล์ที่อยู่ชั้นบนจนถึงชั้นบนสุดแล้วก็กลายเป็นขี้ไคล (Keratin) หลุดลอกออกไป นอกจากนี้ในชั้นหนังกำพร้ายังมีเซลล์ ที่เรียกว่า เมลานิน ปะปนอยู่ด้วย เมลานินมีมากหรือน้อยขึ้น อยู่กับบุคคล เชื้อชาติ และพันธุกรรม จึงทำให้สีผิวของคนแตกต่างกันไป ในชั้นของหนังกำพร้าไม่มีหลอดเลือด เส้นประสาท และต่อมต่าง ๆ ซึ่งเป็นทางผ่านของรูเหงื่อ เส้นขน และไขมันเท่านั้น 2. หนังแท้ (Dermis) เป็นผิวหนังที่อยู่ชั้นล่างถัดจากหนังกำพร้า แต่หนากว่าหนังกำพร้ามากจะประกอบด้วยโปรตีนหลัก 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อ คอลลาเจน (Collagen) และเนื้อเยื่อ อีลาสติค (Elastic) คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ความแข็งแรงแก่ผิวหนัง และช่วยในการซ่อมแซมผิวหนังที่บาดเจ็บ ซึ่งถ้าสร้างในปริมาณมากก็เกิดเป็น แผลเป็น นั่นเองส่วน อีลาสติน (Elastin) สร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และในชั้นหนังแท้นี้ยังเป็นที่อยู่ของ หลอดเลือด เส้นประสาท กล้ามเนื้อเกาะเส้นขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ และขุม ขนกระจายอยู่ทั่วไป 3. ชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) หรือ ชั้นไขมัน (Subcutaneous) ประกอบด้วยเซลล์ไขมันเป็นหลัก ทําหน้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คล้ายฉนวนกันความร้อนช่วยลดแรงกระทบกระแทกจากภายนอก และชั้นไขมันนี้จะมีมากเฉพาะบริเวณสะโพก เอว ต้นขา ที่เรียกว่า Cellulite คือไขมัน ที่มีเนื้อเยื่อคล้ายพังผืดแทรกอยู่ทําให้เกิดการดึงรั้งผิวหนังเห็นเป็นลอน ๆ จากภายนอกการเกิด Cellulite ไม่ขึ้นกับ ปริมาณของไขมันในร่างกาย คนผอมก็มี Cellulite ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม Line : @mdearthailand